แบบแปลนเป็นรูปวาดที่แสดงวัตถุจากมุมมองด้านบน ในแบบแปลนจึงไม่มีข้อมูลความสูงในแนวดิ่ง
แต่จะแสดงเพียงขนาดต่างๆในแนวราบ โดยวาดตามสเกลที่ระบุ ตัวอย่าง

ผังบริเวณ (Site Plan)
คือแผนที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งและทิศทางของอาคารจะทำการก่อสร้างในเขตพื้นที่ โครงการ โดยจะแสดงขอบเขตพื้นที่ของโครงการและบริเวณข้างเคียงซึ่งปกติจะเป็นเส้นหนาซึ่งมีหนึ่ง จุดหรือสองจุดระหว่างเส้นที่ยาวกว่า เพื่อให้ทำการก่อสร้างได้ตรงกับตำแหน่งและทิศทาง มีหลักมุด อ้างอิงเพื่อความแม่นยำในการกำหนดตำแหน่ง และบางครั้งมีเส้นชั้นความสูงพื้นที่เพื่อจะช่วยในการ ประมาณราคาและวางแผนการก่อสร้าง
ตัวอย่าง

แปลนพื้น (Floor Plan)
แปลนพื้นคือภาพตัดในแนวราบของอาคาร โดยจะแสดงรายระเอียดเกี่ยวกับรูปร่าง, ขนาด, พื้นที่ใช้ สอย, โครงสร้าง, การก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง โดยแสดงออกมาในลักษณะของสัญลักษณ์, เส้น, ตัวเลข, ตัวอักษรประกอบกันเพื่อสื่อความหมาย แปลนพื้นจะมีทั้งแบบสถาปัตยกรรม และแบบโครงสร้าง โดยก่อนที่จะเริ่มการเขียนแบบผัง พื้นงานโครงสร้างจะต้องอ่านแบบสถาปัตยกรรม เพื่อทำความเข้าใจในขนาดรูปร่าง ความสัมพันธ์ ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ และจินตนาการตามลักษณะของแบบ

แบบแปลนสถาปัตยกรรมและแบบแปลนโครงสร้าง

ตัวอย่างแบบแปลนสถาปัตยกรรม

ตัวอย่างแบบแปลนโครงสร้าง
การอ่านแบบแปลนสถาปัตยกรรม
การอ่านแบบควรเริ่มอ่านตามลำดับขั้นตอน โดยเริ่มจากแบบผังแสดงตำแหน่งที่ตั้งและทิศทาง ตลอดจนระดับความสูงของอาคาร (site plan) ถ้าต้องการรู้เกี่ยวกับที่ดินปลูกสร้างก็อ่านจากแบบผัง บริเวณ (lay out) ถ้าต้องการรู้เกี่ยวกับลักษณะภายในห้องต่างๆเช่น การใช้งาน ชนิดของพื้น และ ผนัง ระดับความสูงต่ำของพื้น ก็จะอ่านได้จากแปลนพื้นอาคาร
แบบแปลนสถาปัตยกรรมเป็นภาพของอาคารในจินตนาการที่ออกแบบโดยสถาปนิกตามความ ต้องการของเจ้าของอาคาร ส่วนแบบแปลนโครงสร้างคือภาพของอาคารที่ออกแบบโดยวิศวกร โครงสร้างเพื่อใช้ในการก่อสร้างเป็นอาคารจริงขึ้นมา ดังนั้นแบบทั้งสองชนิดจึงมีความสัมพันธ์กัน อย่างมาก และจะต้องไม่มีความขัดแย้งกันเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการก่อสร้าง ปัญหาความ ขัดแย้งหลังการก่อสร้างเสร็จ
โดยทั่วไปแล้วแบบสถาปัตย์ควรจะ “นิ่ง” นั่นคือแล้วเสร็จสมบูรณ์โดยไม่มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงเสียก่อน จะค่อยมาท าแบบโครงสร้าง แต่ก็อาจมีบางโครงการเป็นแบบ Design & Build นั่นคือออกแบบไปสร้างไป และมีการแก้ไขแบบอยู่ตลอดแม้ว่าการก่อสร้างจะเริ่มต้นแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังมาก เพราะอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่ายอันจะส่งผลให้เกิดความ เสียหายต่อโครงสร้างได้
การระบุชั้นในอาคาร
แต่ละชั้น (Floor) ในอาคารจะประกอบด้วยพื้น คาน เสา ผนัง และเพดาน การกำหนดหมายเลขชั้น จะเรียงจากล่างขึ้นบน โดยให้ชั้นล่างสุดเป็นชั้นที่ 1 หรือชั้น G (Ground Floor) ในอาคารสูง บาง อาคารอาจไม่มีชั้นที่ 4 หรือ 13 ตามความเชื่อโชคลางก็จะนับข้ามไป
ผังบริเวณและผังที่ตั้ง
แผนที่มีหลายชนิด เช่น แผนที่โลก แผนที่ประเทศ แผนที่จังหวัด แผนที่เมือง แผนที่หมู่บ้าน แผนที่ทางหลวง แผนที่ผังเมือง แผนที่ทางทหาร แผนที่ทางทะเล แผนที่ดวงดาว ฯลฯ แผนที่ดังกล่าวจะต้องแสดงมาตราส่วนกำกับ พร้อมเครื่องหมายทิศเหนือ ถ้านำแผนที่ดังกล่าวมาเขียนขยายใหญ่ขึ้นเฉพาะกรณีพื้นที่ ความละเอียดชัดเจนก็จะมากขึ้นตามลำดับ เช่น ผังบริเวณและผังที่ตั้ง
ความหมายของผังบริเวณและผังที่ตั้ง
1. ผังบริเวณ ( Layout Plan ) หมายถึงภาพ 2 มิติ ที่แสดงรายละเอียดในทางราบเกี่ยวกับตำแหน่งอาคารลงบนพื้นที่ก่อสร้าง บนแผนที่ในโฉนดที่ดินที่เขียนขยาย ให้รายละเอียดเกี่ยวกับระยะห่างจากแนวเขตถนน แนวเขตข้างเคียงโดยรอบ เครื่องหมายทิศเหนือ ตำแหน่งของบ่อบำบัดน้ำเสีย ทางเข้าออก การระบายน้ำทิ้ง บ่อพัก บ่อดักไขมัน และอื่นๆ ที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนด
2. ผังที่ตั้ง ( Site Plan ) หรือแผนที่สังเขป หมายถึงภาพ 2 มิติ ที่แสดงรายละเอียดในทางราบเกี่ยวกับที่ตั้งของที่ดิน เพื่อแสดงให้ทราบว่าตั้งอยู่ที่ตำแหน่งใด ห่างจากถนนหลัก ถนนรองเท่าไหร่ และมีสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอะไรบ้าง หรือตั้งอยู่ใกล้กับอะไรที่สังเกตุหรือมองเห็นได้ง่าย มีจุดประสงค์เพื่อต้องการแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ไม่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดตัวอาคารแต่อย่างใด ดังนั้นการเขียนแผนที่ตั้ง จึงไม่ต้องมีมาตราส่วนกำกับ ให้เขียนระยะตัวเลขโดยประมาณขนาดของรูปแบบตามความเหมาะสม
กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับผังบริเวณและผังที่ตั้ง
เนื่องจากการเขียนผังบริเวณและผังที่ตั้ง จะจัดไว้แผ่นหน้าสุดของรูปเล่มแบบ ต่อจากรายการประกอบแบบ รายละเอียดที่สำคัญต่างๆ จะแสดงที่ผังบริเวณ สาเหตุเพราะเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโดยตรง ส่วนผังที่ตั้งแสดงเฉพาะตำแหน่งสถานที่ก่อสร้าง จึงไม่มีข้อกำหนดใดมาเกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร 2522 มีดังนี้
1. มาตราส่วนที่ใช้เขียนผังบริเวณต้องไม่เล็กกว่ามาตราส่วน 1 : 500
2. กรณีโฉนดที่ดินมีผืนใหญ่มาก หรือใช้เอกสารโฉนดที่ดินหลายแผ่นมาเรียงต่อกันต้องแยกเขียนเป็น
2 ตอน จัดอยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกันหรือแยกคนละแผ่นก็ได้ ดังนี้
2.1 ตอนแรกให้แสดงเฉพาะแนวเขตของที่ดินรวมที่มีทั้งหมด แสดงหมุดเขตที่ดิน ความยาวแนวเขตที่ดิน แบบเต็มใบ ถนนสาธารณะ และ เครื่องหมายทิศเหนือ ให้ใช้มาตราส่วนใดก็ได้ที่เหมาะสมกับขนาด กระดาษเขียนแบบ แต่ไม่ต้องเขียนตัวอาคารลงไป
2.2 ตอนที่สองให้เขียนแบบตัดตอนเอกสารโฉนดที่ดินเฉพาะที่อยู่ใกล้กับตัวอาคาร โดยใช้มาตราส่วนที่ไม่ เล็กกว่ากฎหมายกำหนด คือ 1 : 500 แล้วจึงเขียนตำแหน่งตัวอาคาร แสดงรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น หมายเลขบนหลักเขตที่ดิน ระยะถอยร่นห่างจากแนวเขต ข้างเคียงไม่น้อยกว่าที่กฎหมายควบคุม อาคารกำหนด ตำแหน่งบ่อส้วม การระบายน้ำทิ้ง และทางเข้าออกเป็นต้น
3. ระยะถอยร่นอาคารห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียง ( ด้านข้างกับด้านหลัง ) มีดังนี้
3.1 อาคารที่สูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียง ต้องอยู่ห่างจากแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร จึงจะมี ช่องเปิดหน้าต่างได้ ถ้าระยะน้อยกว่านี้ผนังต้องปิดทึบตันห่างจากแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร กรณีน้อยกว่านี้หรือสร้างชิดแนวเขตต้องได้รับการยินยอมเป็นหนังสือจากเจ้าของที่ดิน ข้างเคียง และห้ามมิให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารลุกล้ำแนวเขต ถ้ามีหลังคาเป็นดาดฟ้า ให้ทำผนัง ดาดฟ้าด้านชิดแนวเขตเป็นผนังทึบสูงไม่น้อยกว่า 1.80 เมตร กั้นตลอดแนว
3.2 อาคารที่สูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียง ต้องอยู่ห่างจากแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 3 เมตร จึงจะมีช่องเปิดหน้าต่างได้ กรณีสร้างชิดแนวเขตที่ดิน ( เหมือนข้อแรก ) จะก่อสร้างได้สูงไม่ เกิน15 เมตร ถ้ามีหลังคาป็นดาดฟ้าให้ทำผนังดาดฟ้า ด้านชิดแนวเขตเป็นผนังทึบสูงไม่น้อยกว่า 1.80 เมตร กั้นตลอดแนวเช่นกัน อนึ่ง การกำหนดความสูงอาคารให้วัดระยะจากพื้นดิน ก่อสร้างถึงยอดฝา หรือหลังคานหลังคาทรงจั่ว หรือปั้นหยา กรณีเป็นหลังคาดาดฟ้าให้วัดระยะถึงผิวพื้นดาดฟ้า
4. ระยะถอยร่นอาคารห่างจากแนวเขตถนนสาธารณะ มีดังนี้
4.1 อาคารทุกขนาดที่สร้างติดถนนสาธารณะที่กว้างน้อยกว่า 6 เมตร ให้ถอยร่นแนวอาคารห่างจาก “จุด กึ่งกลางถนน” อย่างน้อย 3 เมตร
4.2 อาคารที่สูงเกิน 8 เมตร ที่สร้างติดถนนสาธารณะที่กว้างตั้งแต่ 6-10 เมตร ให้ถอยร่นแนวอาคารห่าง จาก“จุดกึ่งกลางถนน” อย่างน้อย 6 เมตร
4.3 อาคารที่สูงเกิน 8 เมตร ที่สร้างติดถนนสาธารณะที่กว้างตั้งแต่ 10-20 เมตร ให้ถอยร่นแนวอาคารห่าง จาก “เขตถนนหรือแนวเขตที่ดินของตน”อย่างน้อย 1/10 ของความกว้างถนน
4.4 อาคารที่สูงเกิน 8 เมตร ที่สร้างติดถนนสาธารณะที่กว้างเกิน 20 เมตร ให้ถอยร่นแนวอาคารห่าง จาก“เขตถนนหรือแนวเขตที่ดินของตน”อย่างน้อย 2 เมตร
4.5 ความสูงอาคารต้องไม่เกิน 2 เท่า ของระยะราบ ( Set back = 1 : 2 ) ที่วัดระยะจากจุดนั้นไปตั้งฉาก กับ แนวเขตด้านตรงกันข้ามของถนนสาธารณะที่อยู่ใกล้อาคารที่สุด
5. ระยะถอยร่นอาคารห่างจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะ มีดังนี้
5.1 อาคารทุกชนิดที่สร้างติดเขตแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ คู คลอง ห้วย และลำประโดง ที่กว้างน้อย กว่า 10 เมตร ให้ถอยร่นอาคารห่างจาก “แนวเขตที่ดิน”อย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าแหล่งน้ำกว้างตั้งแต่ 10 เมตร ให้ถอยร่นอย่างน้อย 6 เมตร
5.2 ถ้าเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ บึงขนาดใหญ่ ( กว้านพะเยาหรือบึงบอระเพ็ด ) ทะเลสาบ และทะเล ให้ ถอยร่นอย่างน้อย 12 เมตร อนึ่ง มีข้อยกเว้นอาคารบางประเภท เช่น สะพาน เขื่อน รั้ว ท่อระบายน้ำ ท่าเรือ ป้าย อู่เรือ คานเรือ และที่ว่างสำหรับจอดรถไม่ต้องถอยร่น
6. กฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบเฉพาะในบางพื้นที่ ได้แก่ พระราชบัญญัติผังเมือง 2518 ในเรื่อง การถอยร่นเพื่อกันแนวอาคารในถนนสาธารณะบางสาย การกำหนดความสูงอาคารในบางพื้นที่ และการแบ่งเขต ( Zone ) ประเภทของอาคาร และประกาศของกระทรวงคมนาคม เรื่องกำหนดเขตปลอดภัยในการเดินอากาศบริเวณใกล้เคียงสนามบิน เป็นต้น

แปลนพื้น
ในอดีตแผนที่เป็นแบบแผ่นแรกของมนุษย์ ที่แสดงตำแหน่งที่ตั้ง ภูมิประเทศ ทิศเหนือ ถนน แม่น้ำ แหล่งน้ำ ภูเขา สิ่งก่อสร้างต่างๆ มีประโยชน์ต่อการเดินทาง และการค้นหาทรัพย์สมบัติ การเขียนแผนที่ในยุคแรกอาศัยภูมิปัญญาชาวบ้านใช้จินตนาการขึ้นเอง นับเป็นการฝึกเขียนภาพ 2 มิติ ที่มีลักษณะคล้ายการเขียนแปลนพื้นหรือผังพื้นในปัจจุบัน
ความหมายของแปลนพื้น
แปลนพื้นหรือผังพื้น ( Floor Plan ) หมายถึง รูปตัดในทางราบหรือทางนอนเป็นภาพ 2 มิติ ( กว้างกับยาว ) ที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดรูปร่าง การจัดแบบพื้นที่ใช้สอย เขียนออกมาในลักษณะของสัญลักษณ์เส้น คำย่อ ตัวเลข ตัวอักษร ระดับความสูง และมาตราส่วนประกอบกัน เพื่อใช้สื่อความหมาย การเรียกชื่อแปลนพื้นจะกำหนดตามตำแหน่งของแปลนพื้นตั้งอยู่ เช่น บ้าน 2 ชั้น จะประกอบด้วย แปลนพื้นชั้นล่างกับแปลนพื้นชั้นบนเป็นต้น
สัญลักษณ์ในแปลนพื้น
แปลนพื้น เป็นแบบที่แสดงจำนวนสัญลักษณ์ที่มีมากที่สุด ได้แก่ เสา ผนัง ประตู หน้าต่าง บันได ทิศเหนือ การบอกขนาดมิติกว้างยาว ระดับความสูง ชื่อห้อง วัสดุปูพื้น แนวเส้นตัด รายการประกอบแบบ และรหัสรูปด้าน เป็นต้น
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเขียนแปลนพื้น
1. การเขียนบอกชื่อห้อง ระดับความสูง และหมายเลขพื้น ให้เขียนประมาณจุดศูนย์กลางห้องที่ต้องการ
โดยเขียนได้ 2 ลักษณะ คือ แบบเปิดและแบบปิด ให้เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่งตลอดโครงการ
2. ถ้าพื้นห้องเล็กแคบ ไม่สามารถเขียนบอกชื่อห้องลงไปได้ ให้เขียนไว้นอกแบบแล้งโยงเส้นลูกศรชี้บอกชื่อ ห้อง
3. การเขียนแปลนพื้นที่มีหลายชั้น ให้เขียนแสดงเฉพาะในส่วนของแปลนพื้นชั้นนั้น ไม่ต้องเขียนส่วนของแปลน ที่อยู่ชั้นล่าง ถึงแม้ตามความเป็นจริงจะมองเห็นก็ตาม เพราะจะทำให้การอ่านแบบยุ่งยากสับสน แยกไม่ออก ว่าอยู่ชั้นไหน เช่น เขียนแปลนพื้นชั้นบน ต้องไม่เขียนถนนหรือลานซักล้างหรือระเบียงที่อยู่ในแปลนชั้นล่าง เป็นต้น
4. การเขียนแปลนพื้นที่เป็นชั้นลอย ต้องเขียนให้ครอบคลุมชั้นล่าง แต่ไม่ต้องเขียนรายละเอียดใดๆลงไปอีก
สาเหตุเพราะเขียนแสดงในแปลนพื้นชั้นล่างแล้ว แต่ให้เขียนเส้นทแยงมุมลงไปแทนแล้วเขียนคำว่า “ช่อง โล่ง”ทับจุดตัดเส้นทแยงมุม
5. ไม่ต้องเขียนบอกแสดงจำนวนเลขขั้นบันไดในแปลนพื้น เพราะต้องเขียนแบบขยายบันไดอยู่แล้ว ให้เขียน บอกแต่สัญลักษณ์ หมายเลขบันได เช่น บ1 และ บ2
6. การเขียนแสดงทิศทางขึ้นลงบันไดบ้าน 2 ชั้น ในแปลนพื้นชั้นล่างให้เขียนเพียงบางส่วนและเขียนเส้น ตัดตอนแนวเฉียงปิด พร้อมเส้นลูกศรข้อความ “ขึ้น” ไว้ที่หางลูกศร ส่วนแปลนพื้นชั้นบนให้เขียนแปลน บันไดมองเห็นเต็มรูปแบบ พร้อมเส้นลูกศรข้อความ “ลง” ไว้ที่หางลูกศร
7. การเขียนประตู หน้าต่างที่เป็นบานเปิดธรรมดาแสดงทิศทางการเปิดปิด เป็นเส้นโค้งหรือเส้นเฉียง 45 องศา ให้เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง แบบเดียวกันตลอดโครงการ
8. พื้นที่ส่วนที่เป็นช่องโล่งทะลุ เช่น ช่องท่อ ( Duct ) และช่องลิฟต์ เขียนเป็นเส้นทแยงมุมลงไปแล้วเขียนคำว่า “ช่องโล่ง” ทับจุดตัดเส้นทแยงมุม
9. ระดับของพื้นห้องน้ำ พื้นระเบียง พื้นเฉลียง และลานซักล้าง จะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับของพื้นห้องทั่วไปในชั้น เดียวกันประมาณ 10 เซนติเมตร สาเหตุเพราะไม่ต้องการให้น้ำใช้และน้ำฝนที่พื้นห้องดังกล่าวกระเซ็นไหล เข้าสู่ห้องภายในบ้าน ดังนั้นการเขียนแสดงระดับที่แตกต่างกันจะต้องมีเส้นแบ่งระดับ 1 เส้น ที่ประตูห้อง ถ้า ไม่มีแสดงว่ามีระดับที่เสมอกัน
10. การจัดวางรูปแบบแปลนพื้นลงบนกระดาษเขียนแบบ ให้เอาทางเข้าหลักหรือประตูใหญ่หันลงด้านล่าง กระดาษเขียนแบบ ให้ดูประหนึ่งเหมือนเรากำลังเดินตรงเข้าสู่ตัวอาคาร รวมทั้งการเขียนแบบขยายแปลน ห้องน้ำ และแบบขยายแปลนบันได ก็ให้จัดวางในลักษณะเดียวกัน

รูปด้าน
รูปภาพที่คนทั่วไปทำความเข้าใจและอ่านออกได้ง่ายที่สุด อีกทั้งบุคคลที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ในวิชาเขียนแบบมาก่อน และเป็นภาพที่เกือบทุกคนสามารถจะร่างภาพออกมาเป็นลักษณะของภาพลายเส้นด้วยตนเองอย่างคร่าวๆ เนื่องจากเป็นภาพที่พบเห็นในชีวิตประจำวันจนเคยชินต่อสายตา ภาพดังกล่าวจัดเป็นรูปทรงเรขาคณิต 2 มิติ ประเภทหนึ่งสิ่งนั้น คือ รูปด้าน
ความหมายของรูปด้าน
รูปด้าน ( Elevation ) หมายถึง รูปที่ปรากฏในแนวดิ่งของอาคารแสดงรูปร่างรายละเอียดภายนอกโดยรอบ
เป็นการมองในลักษณะขนานกับพื้นดินทีละด้านจนครบ 4 ด้าน ประกอบการใช้สัญลักษณ์ เส้น ตัวย่อ ตัวอักษร ตัวเลข และมาตราส่วนรวมกันเพื่อใช้สื่อความหมาย รูปด้านมีลักษณะคล้ายรูปตัด
การกำหนดชื่อหรือการเรียกชื่อรูปด้าน แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1. กำหนดชื่อตามลักษณะของการมองเห็นภาพจากแปลนพื้น ให้ครบ 4 ด้าน เช่น รูปด้านหน้า รูปด้านซ้าย รูป ด้านขวาและรูปด้านหลัง เป็นต้น เหมาะสำหรับแปลนพื้นโดยรวมเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มี ประตูทางเข้าหลักอยู่ด้านอาคาร
2. กำหนดชื่อตามทิศสี่ทิศ เป็นทิศที่รูปด้านนั้นหันไปทางทิศดังกล่าว จนครบ 4 ด้าน เช่น รูปด้านทิศเหนือ รูป ด้านทิศใต้ รูปด้านทิศตะวันออก และรูปด้านทิศตะวันตก เป็นต้น เหมาะสำหรับ กรณีรูปแปลนพื้นรูปทรง สี่เหลี่ยม วางในแนวขนานหรือวางตั้งฉาก กับเครื่องหมายทิศเหนือในรูปแปลนอย่างชัดเจน
3. กำหนดชื่อตามเครื่องหมายรหัส ( Code ) รหัสที่ใช้กำหนดเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรให้ครบ 4 ด้าน เช่น รูป ด้าน 1 รูปด้าน 2 รูปด้าน 3 และรูปด้าน 4 หรือ รูปด้าน ก รูปด้าน ข รูปด้าน ค และรูปด้าน ง เป็นต้น เหมาะ สำหรับกรณีรูปแปลนพื้น มีลักษณะเป็นรูปหลายเหลี่ยม รูปวงกลม รูปทรงอิสระ หรือรูปทรงใดๆ ให้เขียนแสดง เครื่องหมายรหัสลงในแปลนพื้น โดยให้ตัวเลข 1 หรือตัวอักษรตัวแรกเป็นรูปด้านหน้า